นักพัฒนาระบบหลังบ้าน (Back-end Developer) หรือที่รู้จักกันในชื่อ นักพัฒนาระบบฝั่งเซิร์ฟเวอร์ (Server-side Developer) หรือนักพัฒนา API (API Developer) มีหน้าที่รับผิดชอบในการสร้างและดูแลการทำงานของตรรกะฝั่งเซิร์ฟเวอร์ การเชื่อมต่อฐานข้อมูล และการเชื่อมต่อ API สำหรับเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน
1. Design and Development
ออกแบบ พัฒนา ทดสอบ และดูแลระบบหลังบ้านของเว็บแอปพลิเคชันหรือบริการโดยใช้ภาษาโปรแกรม เช่น Java, Python, Ruby, PHP หรือ C#
2. Server-side Logic
Implement server-side logicเช่น การประมวลผลข้อมูล การตรวจสอบความถูกต้อง และการจัดการข้อมูล เพื่อให้สามารถเชื่อมต่อกับ front-end components ของแอปพลิเคชันได้อย่างราบรื่น
3. Database Integration
เชื่อมต่อกับฐานข้อมูล (เช่น MySQL, PostgreSQL, MongoDB) และทำการเขียนคำสั่งฐานข้อมูล การออกแบบโมเดลข้อมูล และการจัดการสคีมาของฐานข้อมูล
4. API Development
ออกแบบ พัฒนา ทดสอบ และดูแล API ประเภท RESTful หรือ GraphQL เพื่อให้สามารถสื่อสารระหว่างส่วนหน้าและส่วนหลังของระบบได้
5. Data Management
จัดการชุดข้อมูลขนาดใหญ่ ทำการวิเคราะห์ข้อมูล และปรับปรุงประสิทธิภาพของฐานข้อมูลเพื่อให้การดึงและจัดการข้อมูลมีประสิทธิภาพสูงสุด
6. Security
ใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยเพื่อป้องกันการโจมตีเว็บที่พบบ่อย เช่น SQL Injection และ Cross-site Scripting (XSS)
7. Testing and Debugging
เขียนการทดสอบหน่วย (Unit Tests) การทดสอบรวม (Integration Tests) และแก้ไขข้อผิดพลาดในโค้ดเพื่อให้การทำงานของระบบหลังบ้านถูกต้องและเชื่อถือได้
8. Collaboration
ร่วมงานกับนักพัฒนา Front End นักออกแบบ ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอื่น ๆ เพื่อเข้าใจความต้องการและนำเสนอวิธีแก้ปัญหาที่มีคุณภาพสูง
9. Code Maintenance
ดูแลและอัปเดตโค้ดที่มีอยู่แล้วเพื่อให้มั่นใจว่าโค้ดจะยังคงเสถียร มีประสิทธิภาพ และปลอดภัย
ตัวอย่าง key performance indicators (KPIs) ของตำแหน่ง Backend Developer
1. Code quality
* Code coverage percentage (>80%)
* Number of bugs per thousand lines of code (<5)
* Code review feedback time (average < 24 hours)
2. Performance and scalability
* Average response time for API requests (<500 ms)
* Throughput (requests per second) (>1000)
* Error rate (<1%)
3. Database performance
* Query execution time (<200 ms) * Database size (<10 GB)
* Indexing and query optimization efforts
4. Security and compliance
* Number of security vulnerabilities found (<2 per quarter)
* Compliance with company security policies (>95%)
* Secure coding practices adoption (e.g., OWASP)
5. Code maintainability and reusability
* Codebase entropy (measured by metrics like complexity, coupling, and cohesion) (<20)
* Average time to resolve a bug or implement a feature (<3 days)
* Code reuse percentage (>50%)
6. Collaboration and communication
* Number of open issues or tickets per week (<5)
* Mean time to close an issue or ticket (<24 hours)
* Frequency of code reviews and feedback (at least weekly)
7. Learning and improvement
* Number of new skills or technologies learned per quarter (>2)
* Average rating on training or mentorship sessions (>4.5/5)
* Contribution to open-source projects or online communities
8. Team collaboration and knowledge sharing
* Frequency of team meetings or code reviews (at least bi-weekly)
* Percentage of team members who have contributed to a project or feature (>80%)
* Knowledge sharing metrics (e.g., blog posts, presentations, or meetups) (>1 per quarter)