Job Description (JD) หรือ “คำบรรยายงาน” คือ เอกสารที่มีรายละเอียดเกี่ยวกับตำแหน่งงานที่องค์กรต้องการหาคนมาทำ ซึ่งช่วยให้ทั้งฝ่ายบุคคลและผู้สมัครงานเข้าใจหน้าที่และความรับผิดชอบของตำแหน่งนั้นๆ อย่างชัดเจน รวมถึงคุณสมบัติที่จำเป็นที่ผู้สมัครควรมี การเขียน Job Description (JD)จะประกอบไปด้วยข้อมูลที่สำคัญหลายๆ ด้าน ดังนี้
1. ชื่อและตำแหน่งงาน (Job Title)
- บ่งบอกชื่อของตำแหน่งงานอย่างชัดเจน เช่น “Marketing Manager”, “Software Developer”, “Human Resources Assistant” เป็นต้น
2. หน้าที่และความรับผิดชอบ (Job Responsibilities)
- อธิบายหน้าที่หลักของตำแหน่งงานนั้นๆ โดยระบุรายละเอียดที่ชัดเจน เช่น การจัดการโครงการ, การดูแลทีม, การพัฒนาผลิตภัณฑ์ เป็นต้น
- บางครั้งจะระบุถึงกิจกรรมที่ต้องทำเป็นประจำ เช่น “ทำการตลาดออนไลน์”, “พัฒนาระบบซอฟต์แวร์” หรือ “ดูแลการเงินของบริษัท”
3. คุณสมบัติที่ต้องการ (Qualifications)
- ระบุคุณสมบัติพื้นฐานที่ผู้สมัครควรมี เช่น ระดับการศึกษาที่ต้องการ, ทักษะที่จำเป็น, ประสบการณ์การทำงาน หรือความรู้เฉพาะทาง
- เช่น “ปริญญาตรีในสาขาการตลาด”, “มีประสบการณ์การทำงานอย่างน้อย 2 ปี” หรือ “มีทักษะในการใช้โปรแกรม Excel”
4. ทักษะที่จำเป็น (Skills Required)
- บ่งบอกทักษะทางด้านวิชาชีพ เช่น “การใช้เครื่องมือ Adobe Photoshop”, “ทักษะการสื่อสารที่ดี”, หรือ “ความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูล”
- อาจรวมถึงทักษะทางด้านอ่อน เช่น “การทำงานเป็นทีม”, “ทักษะในการเจรจาต่อรอง”, หรือ “ความสามารถในการแก้ปัญหา”
5. เงื่อนไขการทำงาน (Working Conditions)
- ระบุเงื่อนไขต่างๆ เช่น สถานที่ทำงาน, เวลาทำงาน, ระบบการทำงาน (Full-time/Part-time), หรือรูปแบบการทำงานจากที่บ้าน (Remote)
- เช่น “ทำงานที่สำนักงานใหญ่”, “เวลาทำงาน 9.00 น. – 18.00 น.”
6. เงินเดือนและสวัสดิการ (Salary and Benefits)
- ข้อมูลเกี่ยวกับระดับเงินเดือนหรือช่วงเงินเดือนที่คาดว่าจะจ่าย
- สวัสดิการต่างๆ เช่น ประกันสุขภาพ, โบนัส, วันหยุด, การฝึกอบรม เป็นต้น
7. โอกาสในการเติบโต (Career Development Opportunities)
- หากมี ก็อาจระบุถึงโอกาสในการเติบโตในสายอาชีพ เช่น การเลื่อนตำแหน่ง หรือการพัฒนาทักษะ
8. วิธีการสมัครงาน (How to Apply)
- บอกวิธีการสมัครงาน เช่น ส่งประวัติส่วนตัว (Resume) และจดหมายสมัครงาน (Cover Letter) ผ่านทางอีเมล์ หรือกรอกฟอร์มออนไลน์
Photo by Vitaly Gariev on Unsplash
การจัดทำ Job Description ที่ดี จะช่วยเป็นเครื่องมือสำคัญในการสรรหาและคัดเลือกบุคลากร ช่วยให้ผู้สมัครเข้าใจความคาดหวังขององค์กร และช่วยให้องค์กรประเมินความสามารถของผู้สมัครได้ตรงตามความต้องการ
หน้าที่หลักๆ ของ Job Description ในการช่วงการสรรหาและหลังจากนั้น จะมีดังนี้
- กำหนดความคาดหวังของผู้สมัครงาน:
- บอกให้ชัดเจนว่าตำแหน่งนี้ต้องทำอะไรบ้าง
- ช่วยให้ผู้สมัครรู้ว่าต้องทำอะไรและต้องเก่งอะไรบ้าง
- ช่วยสรรหาและคัดเลือกคนเข้ามาทำงานให้เหมาะสมกับตำแหน่งที่องค์กรกำลังหา:
- ใช้ในการประกาศหาคนมาทำงาน
- ช่วยคัดเลือกผู้สมัครที่เหมาะสม
- ประเมินผลงานของพนักงาน:
- ใช้เป็นมาตรฐานในการประเมินผลงานของพนักงาน
- ช่วยให้หัวหน้ารู้ว่าพนักงานทำได้ตามเป้าหมายไหม
- สามารถช่วยให้เรานำเอาข้อมูลไปใช้ในระบบประเมินผลงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพได้
- ฝึกอบรมและพัฒนาเพื่อให้เป็นไปตามทิศทางขององค์กร:
- ใช้ในการวางแผนการฝึกอบรมและพัฒนาทักษะของพนักงาน
- ช่วยระบุสิ่งที่พนักงานต้องพัฒนาเพิ่มเติม
- จัดการค่าตอบแทนให้เหมาะสมกับตำแหน่งงานและอุตสาหกรรม:
- ใช้ในการกำหนดเงินเดือนและสวัสดิการ
- ช่วยให้รู้ว่าค่าตอบแทนควรเป็นเท่าไรตามหน้าที่ที่ทำ
- ช่วยจัดการงานในองค์กรให้เกิดความชัดเจน:
- ช่วยวางแผนและจัดการโครงสร้างงาน
- ทำให้การทำงานในองค์กรเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ
- สร้างความโปร่งใสและยุติธรรมในการประเมินผลงาน:
- ช่วยให้การทำงานเป็นไปอย่างโปร่งใส
- ลดความขัดแย้งและความไม่เข้าใจระหว่างพนักงานกับผู้จัดการ
ประโยชน์ของการมี Job Description
- สำหรับบริษัท: ช่วยให้การสรรหาผู้สมัครมีความชัดเจนและสามารถคัดเลือกคนที่เหมาะสมได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้การประเมินผลการทำงานของพนักงานมีกรอบการประเมินที่ชัดเจน
- สำหรับพนักงาน: ช่วยให้เข้าใจหน้าที่การทำงานของตนเองอย่างชัดเจน และช่วยในการพัฒนาทักษะหรือเตรียมตัวสำหรับการเลื่อนตำแหน่ง
การมี Job Description ที่ชัดเจนและเข้าใจง่ายจะช่วยให้องค์กรดำเนินงานได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
หากคุณกำลังมองหาเครื่องมือที่ช่วยในการประเมินผล KPI EsteeMATE มี Features ที่จะช่วยให้คุณประเมินผล KPI ให้กับพนักงานได้ ศึกษาข้อมูลพิ่มเติมได้ ที่นี่