การติดตามและวัดผลสำคัญ (Key Performance Indicators – KPIs) เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้บริษัทมีการตัดสินใจที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และเป้าหมายทางธุรกิจของตนเองอย่างมีประสิทธิภาพและมั่นใจได้ ด้วยเหตุนี้ การเข้าใจตัวอย่าง KPI ที่เหมาะสมสำหรับบริษัทจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้บริหารและทีมงานควรพิจารณาอย่างสม่ำเสมอ
Photo by LYCS Architecture on Unsplash
ตัวอย่าง KPI สำหรับบริษัทที่คุณสามารถนำเอาไปใช้ได้:
- อัตราการเติบโตของยอดขาย: วัดปริมาณขายหรือรายได้ที่บริษัททำได้ในระยะเวลาที่กำหนด เช่น เปรียบเทียบยอดขายรายเดือน/ไตรมาส/ปี เป็นต้น
- กำไรสุทธิ: วัดกำไรที่บริษัททำได้หลังหักต้นทุนทั้งหมด เพื่อให้เห็นภาพรวมเกี่ยวกับความสมบูรณ์ของกิจการ
- อัตราความเสี่ยง: วัดระดับความเสี่ยงในการดำเนินกิจการ เช่น อัตราการคืบหน้าเกินงบประมาณหรืออัตราการขาดทุน
- อัตราการเติบโตของกลุ่มลูกค้า: การวัดและติดตามจำนวนและความเชื่อมั่นของลูกค้าใหม่และลูกค้าเดิมสามารถช่วยในการปรับแผนการตลาดและการบริการลูกค้า
- ความพึงพอใจของลูกค้า: วัดระดับความพึงพอใจของลูกค้าต่อผลิตภัณฑ์หรือบริการ ผ่านทางการสำรวจความพึงพอใจหรือการตอบรับจากลูกค้า
- อัตราการเกิดปัญหาหรือร้องเรียน: วัดระดับปัญหาหรือร้องเรียนจากลูกค้าหรือพาร์ทเนอร์ เพื่อทราบข้อบกพร่องและมีแผนการปรับปรุง
- อัตราการเปิดและปิดโครงการในเวลาที่กำหนด: การวัดประสิทธิภาพในการจัดการโครงการและการส่งมอบผลลัพธ์ตามเวลาที่กำหนด
- ประสิทธิภาพของการใช้ทรัพยากร: วัดประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรต่าง ๆ เช่น ค่าใช้จ่ายในการผลิต อัตราการใช้งานเครื่องจักร เป็นต้น
- อัตราการเพิ่มส่วนแบ่งตลาด: วัดการครอบครองตลาดหรือส่วนแบ่งตลาดที่บริษัทได้ครอบครองในอุตสาหกรรมหรือกลุ่มลูกค้าเฉพาะ
- อัตราการเสริมสร้างและพัฒนาบุคลากร: วัดการพัฒนาและเสริมสร้างทักษะของพนักงาน เช่น อัตราการอบรม การเปลี่ยนงาน หรือความพึงพอใจของพนักงาน
- อัตราการรักษาลูกค้า: วัดระดับความพอใจของลูกค้าที่ยังคงเลือกใช้สินค้าหรือบริการของบริษัทเรา
- อัตราการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่: วัดความสำเร็จในการพัฒนาและนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ และการได้รับการยอมรับจากตลาด
สรุป: การเลือกใช้ KPIs ที่เหมาะสมและมีความหมายสำหรับบริษัทเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผู้บริหารและทีมงานทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
พบกันในบทความหน้า เรื่อง KPI สำคัญอย่างไรต่อบริษัท