การมี KPI หรือตัวชี้วัดผลสำคัญเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากสำหรับบริษัทเพราะเหตุผลต่อไปนี้:
Photo by Austin Distel on Unsplash
KPI สำคัญอย่างไรต่อบริษัท มีดังนี้
การวัดประสิทธิภาพและความสำเร็จ
KPI ช่วยให้บริษัทสามารถวัดความสำเร็จของกลยุทธ์ต่าง ๆ ที่นำไปใช้ ตัวชี้วัดนี้จะช่วยให้บริษัทสามารถเห็นภาพรวมของผลการดำเนินงานได้ชัดเจนมากขึ้น เช่น การวัดการเติบโตของรายได้, อัตรากำไร, หรืออัตราการปิดการขาย ซึ่งจะช่วยให้บริษัทสามารถประเมินว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้นั้นบรรลุผลหรือไม่
ตัวอย่าง:
ถ้า KPI ของบริษัทคือการเพิ่มยอดขายขึ้น 20% ในปีนี้ หากบริษัทสามารถทำยอดขายได้เพิ่มขึ้นจริง 20% ตามเป้าหมายนี้ ก็หมายความว่ากลยุทธ์การขายของบริษัทประสบความสำเร็จ
การตัดสินใจที่มีข้อมูลสนับสนุน
KPI เป็นข้อมูลสำคัญที่ช่วยให้ผู้บริหารหรือแผนกต่าง ๆ สามารถตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลสนับสนุน ตัวชี้วัดเหล่านี้จะช่วยให้เห็นว่าอะไรทำงานได้ดีและอะไรต้องได้รับการปรับปรุง
ตัวอย่าง:
หาก KPI ของการตลาดคือต้นทุนต่อการได้มาของลูกค้า (Customer Acquisition Cost – CAC) สูงขึ้นกว่าปีก่อน แผนกการตลาดอาจต้องทบทวนกลยุทธ์การใช้จ่ายเพื่อให้ได้ลูกค้าใหม่ในราคาที่เหมาะสม
การปรับปรุงประสิทธิภาพ
การติดตาม KPI ช่วยให้บริษัทเห็นจุดอ่อนและจุดแข็งของการดำเนินงาน สามารถปรับกลยุทธ์เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิมและทำให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การปรับปรุงกระบวนการขายหรือการลดต้นทุนในการผลิต
ตัวอย่าง:
หาก KPI ของแผนกการผลิตคือ “ระยะเวลาในการผลิต” (Production Lead Time) และพบว่าเวลาการผลิตยาวเกินไป บริษัทอาจต้องปรับปรุงกระบวนการผลิตหรือหาวิธีลดเวลาที่ใช้ในการผลิต
กระตุ้นและสร้างแรงจูงใจให้กับพนักงาน
KPI สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการกระตุ้นพนักงานให้มีความมุ่งมั่นในการทำงานมากขึ้น หากพนักงานรู้ว่าผลการทำงานของพวกเขาถูกวัดและประเมินตามตัวชี้วัดที่ชัดเจน พวกเขาจะรู้สึกว่าการทำงานของพวกเขามีความสำคัญต่อการบรรลุเป้าหมายของบริษัท
ตัวอย่าง:
หาก KPI ของพนักงานขายคือการปิดการขาย 10 รายการในเดือนนี้ พนักงานจะมีแรงจูงใจในการเพิ่มความพยายามในการติดต่อกับลูกค้าและปิดการขายให้ได้ตามเป้าหมาย
การกำหนดทิศทางของบริษัท
KPI ช่วยให้บริษัทสามารถกำหนดทิศทางและกลยุทธ์ที่ชัดเจนในการเติบโต เช่น การกำหนดเป้าหมายการขยายตลาดหรือการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ ซึ่งทำให้ทุกแผนกในบริษัทสามารถทำงานร่วมกันเพื่อบรรลุเป้าหมายเดียวกัน
ตัวอย่าง:
หาก KPI ของบริษัทคือการขยายธุรกิจในตลาดต่างประเทศในปีหน้า บริษัทสามารถกำหนดกลยุทธ์ที่ชัดเจน เช่น การลงทุนในการตลาดต่างประเทศหรือการสร้างพันธมิตรใหม่ในต่างประเทศ
ดังนั้น การมี KPI เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากสำหรับบริษัท เนื่องจากจะช่วยให้บริษัทมีการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จในการประกอบธุรกิจอย่างยั่งยืนได้
ตัวอย่าง KPI สำคัญอย่างไรต่อบริษัท
1. KPI ในแผนกการเงิน
KPI: อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin)
- คำอธิบาย: วัดการทำกำไรสุทธิของบริษัทหลังจากหักค่าใช้จ่ายทั้งหมด เช่น ค่าใช้จ่ายในการผลิต, ค่าจ้าง, และค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจ
- การใช้งาน: การวัดอัตรากำไรสุทธินี้ช่วยให้บริษัททราบถึงความสามารถในการทำกำไรจากรายได้ โดยเฉพาะในกรณีที่ต้นทุนการดำเนินการสูงขึ้น
- หมายความว่า: บริษัทมีอัตรากำไรสุทธิ 10% หรือบริษัทสามารถทำกำไรสุทธิได้ 10% ของรายได้ทั้งหมด
2. KPI ในแผนกการตลาด
KPI: อัตราการแปลงลูกค้า (Conversion Rate)
- คำอธิบาย: วัดประสิทธิภาพของแคมเปญการตลาดในการเปลี่ยนผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์หรือผู้สนใจให้กลายเป็นลูกค้าที่ซื้อสินค้า
- การใช้งาน: ช่วยให้ทีมการตลาดประเมินว่ากลยุทธ์การตลาดที่ใช้มีประสิทธิภาพในการดึงดูดลูกค้าได้มากน้อยแค่ไหน
- Objective: เพิ่มการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness)
- KPI: การเติบโตของผู้ติดตามในโซเชียลมีเดีย (Social Media Follower Growth)
- ตัวอย่าง: เพิ่มผู้ติดตามใน Facebook หรือ Instagram ขึ้น 15% ภายใน 3 เดือน
- Objective: ผลักดันการเข้าชมเว็บไซต์ (Website Traffic)
- KPI: จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ที่เพิ่มขึ้น (Website Visits)
- ตัวอย่าง: เพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์จาก 50,000 ครั้งต่อเดือน เป็น 70,000 ครั้งภายใน 6 เดือน
- Objective: เพิ่ม Conversion Rate จากการตลาดออนไลน์
- KPI: อัตราการแปลงผู้เข้าชมเป็นลูกค้า (Conversion Rate)
- ตัวอย่าง: อัตราการแปลงผู้เข้าชมเว็บไซต์เป็นลูกค้าควรเพิ่มขึ้นจาก 2% เป็น 5% ในไตรมาสหน้า
3. KPI ในแผนกการขาย
KPI: ยอดขายเฉลี่ยต่อพนักงาน (Average Sales per Employee)
- คำอธิบาย: วัดประสิทธิภาพของพนักงานขายในการสร้างยอดขาย โดยการคำนวณยอดขายเฉลี่ยที่พนักงานขายทำได้ในช่วงเวลาหนึ่ง
- การใช้งาน: ช่วยให้บริษัททราบว่าแต่ละพนักงานขายสามารถสร้างรายได้ได้มากน้อยแค่ไหน และสามารถตั้งเป้าหมายเพื่อกระตุ้นประสิทธิภาพการขายได้
- Objective: เพิ่มยอดขาย
- KPI: ยอดขายรวมในไตรมาส (Quarterly Sales)
- ตัวอย่าง: ยอดขายในไตรมาสที่ 1 ต้องไม่ต่ำกว่า 10,000,000 บาท
- Objective: ขยายฐานลูกค้า
- KPI: จำนวนลูกค้าใหม่ที่เพิ่มขึ้น (New Customers Acquired)
- ตัวอย่าง: เพิ่มลูกค้าใหม่ 100 รายในแต่ละเดือน
- Objective: ปิดการขาย (Conversion Rate)
- KPI: อัตราการปิดการขาย (Conversion Rate)
- ตัวอย่าง: อัตราการปิดการขายในไตรมาสนี้ต้องไม่น้อยกว่า 20%
4. KPI ในแผนกบริการลูกค้า
KPI: ระยะเวลาในการตอบสนอง (Response Time)
- คำอธิบาย: วัดเวลาที่ใช้ในการตอบกลับลูกค้าหลังจากที่ได้รับการติดต่อจากลูกค้า
- การใช้งาน: ช่วยประเมินประสิทธิภาพในการให้บริการลูกค้าและช่วยให้บริษัทสามารถปรับปรุงกระบวนการบริการลูกค้าได้เร็วขึ้น
- Objective: พัฒนาคุณภาพของพนักงาน
- KPI: การประเมินผลการปฏิบัติงานของพนักงาน (Employee Performance Appraisal)
- ตัวอย่าง: พนักงาน 85% ได้คะแนนประเมินผลที่สูงกว่าค่ามาตรฐานในปีนี้
- Objective: ลดอัตราการลาออกของพนักงาน
- KPI: อัตราการลาออกของพนักงาน (Employee Turnover Rate)
- ตัวอย่าง: ลดอัตราการลาออกของพนักงานจาก 15% เหลือ 10% ภายในปีนี้
- Objective: เพิ่มความพึงพอใจของพนักงาน
- KPI: คะแนนความพึงพอใจของพนักงาน (Employee Satisfaction Score)
- ตัวอย่าง: คะแนนความพึงพอใจของพนักงานต้องไม่ต่ำกว่า 80%