KPI ทำไมถึงสำคัญ เป็นเครื่องมือที่ใช้วัดและติดตามความสำเร็จขององค์กรในการบรรลุเป้าหมายต่างๆ ที่กำหนดไว้ในแผนกลยุทธ์ โดยที่ KPI จะช่วยให้ทุกหน่วยงานในองค์กรมีทิศทางและมุ่งไปในทิศทางเดียวกันในการทำงาน นอกจากนี้ยังช่วยให้สามารถประเมินผลการทำงานในด้านต่างๆ ได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยการใช้ KPI ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดต้องมีการดำเนินการและปรับตัวในหลายๆ ด้าน ดังนี้
1. การทำความเข้าใจในเป้าหมายขององค์กร
การที่องค์กรสามารถกำหนด KPI ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้นต้องเริ่มจากการเข้าใจวิสัยทัศน์และเป้าหมายขององค์กรในภาพรวมก่อน โดยทั่วไปแล้วองค์กรจะมีแผนกลยุทธ์ (Strategic Plan) ที่จะกำหนดทิศทางและวัตถุประสงค์ในระยะยาว เช่น การเติบโตในตลาดใหม่ หรือการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน หลังจากที่ได้กำหนดเป้าหมายแล้ว การเลือก KPI ที่เกี่ยวข้องก็จะง่ายขึ้น
ตัวอย่างเช่น หากเป้าหมายขององค์กรคือการเพิ่มรายได้ KPI ที่เกี่ยวข้องอาจรวมถึง:
- ยอดขายรวม (Total Sales)
- จำนวนลูกค้าใหม่ (New Customers)
- อัตราการเติบโตของรายได้ (Revenue Growth Rate)
2. การเลือก KPI ที่เหมาะสมและสามารถวัดได้
KPI ที่ดีควรมีลักษณะที่เรียกว่า SMART ซึ่งหมายถึง:
- Specific (เฉพาะเจาะจง): KPI ควรมีความชัดเจนในสิ่งที่ต้องการวัด เช่น “เพิ่มยอดขาย 10%” แทนที่จะพูดว่า “เพิ่มยอดขาย”
- Measurable (สามารถวัดได้): ต้องสามารถเก็บข้อมูลและวัดผลได้อย่างชัดเจน เช่น จำนวนลูกค้าหรือยอดขาย
- Achievable (สามารถทำได้): KPI ควรอยู่ในขอบเขตที่สามารถทำได้จริงๆ ไม่เป็นไปไม่ได้หรือยากเกินไป
- Relevant (เกี่ยวข้อง): KPI ที่เลือกต้องมีความสำคัญและเชื่อมโยงกับเป้าหมายหลักขององค์กร
- Time-bound (มีกรอบเวลา): ต้องมีช่วงเวลาในการติดตาม เช่น ระยะเวลา 6 เดือน หรือ 1 ปี
การเลือก KPI ที่ดีจะช่วยให้สามารถติดตามผลได้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่เสียเวลาไปกับข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้อง
3. การทำให้ KPI เชื่อมโยงกับงานแต่ละส่วน
เมื่อได้กำหนด KPI ในระดับองค์กรแล้ว ควรมีการแตกย่อย KPI ลงไปในแต่ละหน่วยงานหรือทีมต่างๆ เพื่อให้ทุกคนในองค์กรสามารถมองเห็นบทบาทของตัวเองในการบรรลุเป้าหมายเดียวกัน ตัวอย่างเช่น:
- ฝ่ายการตลาด: KPI อาจรวมถึง จำนวนการเข้าชมเว็บไซต์, Conversion Rate, หรือ ยอดขายจากแคมเปญการตลาด
- ฝ่ายการเงิน: KPI อาจรวมถึง อัตรากำไรสุทธิ, อัตราการเติบโตของรายได้, หรือ อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน
- ฝ่ายทรัพยากรบุคคล: KPI อาจรวมถึง อัตราการลาออกของพนักงาน, ระยะเวลาในการสรรหาพนักงาน, หรือ ความพึงพอใจของพนักงาน
การเชื่อมโยง KPI ไปยังแต่ละหน่วยงานช่วยให้แต่ละทีมมีความเข้าใจว่าพวกเขาจะต้องทำอะไร และจะมีส่วนร่วมในความสำเร็จขององค์กรอย่างไร
4. การติดตามผลและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
การใช้ KPI ไม่ใช่แค่การตั้งค่ากับการติดตามผลเท่านั้น แต่ยังต้องมีการปรับปรุงกลยุทธ์หรือกระบวนการทำงานให้เหมาะสมตามผลลัพธ์ที่ได้รับ:
- การติดตามผลเป็นระยะ: KPI ควรจะมีการติดตามผลอย่างต่อเนื่อง เช่น รายเดือนหรือรายไตรมาส เพื่อให้สามารถประเมินสถานะปัจจุบันได้และดูแนวโน้มในอนาคต
- การปรับกลยุทธ์: หาก KPI ไม่เป็นไปตามที่ตั้งไว้ จะต้องมีการทบทวนและปรับแผนกลยุทธ์หรือวิธีการทำงาน เช่น อาจต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การตลาดหรือเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต
5. การสร้างวัฒนธรรมการทำงานด้วย KPI
การทำให้ KPI เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมองค์กรจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน เพราะทุกคนจะรู้สึกว่ามีเป้าหมายร่วมกันและจะทำงานตามมาตรฐานที่กำหนด:
- การสื่อสาร KPI ให้ชัดเจน: ควรมีการประชุมเพื่ออธิบาย KPI ให้ทุกคนเข้าใจและเห็นความสำคัญ
- สร้างแรงจูงใจ: การกำหนด KPI ที่มีรางวัลหรือการยอมรับสำหรับการบรรลุผลลัพธ์ที่ดีจะช่วยกระตุ้นให้พนักงานมีความพยายามมากขึ้น
- การพัฒนาและฝึกอบรม: การให้พนักงานเรียนรู้และฝึกทักษะที่จำเป็นในการบรรลุ KPI จะช่วยเพิ่มความมั่นใจและประสิทธิภาพในการทำงาน
6. การใช้เครื่องมือช่วยติดตาม KPI
ในปัจจุบันมีเครื่องมือและซอฟต์แวร์มากมายที่ช่วยในการติดตาม KPI เช่น:
การรายงานอัตโนมัติ โดยการใช้เครื่องมือที่สามารถสร้างรายงาน KPI อัตโนมัติทุกๆ ช่วงเวลา เช่น รายงานรายเดือนหรือรายไตรมาส
Dashboards ที่แสดงผล KPI ในรูปแบบที่เข้าใจง่าย เช่น Google Data Studio, Tableau, Power BI
การใช้งานซอฟต์แวร์บริหารงาน เช่น ERP (Enterprise Resource Planning) ที่ช่วยให้สามารถติดตามข้อมูลสำคัญในแบบเรียลไทม์
ความสำคัญของ KPI ต่อทุกหน่วยงานในองค์กร
- ชัดเจนในเป้าหมาย
KPI ช่วยให้องค์กรและหน่วยงานต่างๆ เข้าใจได้ชัดเจนถึงเป้าหมายที่ต้องการบรรลุ โดยการกำหนด KPI ที่ชัดเจนจะทำให้สมาชิกในทีมรู้ว่าควรทำอะไรและมีทิศทางในการทำงานอย่างไร - ติดตามและประเมินผลได้ง่าย
KPI เป็นเครื่องมือที่ช่วยติดตามผลการทำงานในระยะสั้นและระยะยาว ทำให้ผู้บริหารสามารถประเมินผลและดูความคืบหน้าได้ตลอดเวลา นอกจากนี้ยังสามารถปรับกลยุทธ์หรือวิธีการทำงานได้ทันทีหากพบว่าไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง - กระตุ้นการทำงานและเพิ่มประสิทธิภาพ
เมื่อพนักงานรู้ว่าเกณฑ์ที่ใช้ประเมินผลคืออะไร พวกเขาจะมีความกระตือรือร้นในการทำงานให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น เพราะรู้ว่าผลการทำงานของตนจะถูกวัดและติดตามอย่างต่อเนื่อง - สร้างความโปร่งใสและความรับผิดชอบ
การใช้ KPI ช่วยให้ทุกคนในองค์กรเห็นภาพรวมและรู้ว่าตนเองมีบทบาทสำคัญในการทำให้องค์กรไปถึงเป้าหมาย รวมถึงทำให้พนักงานรับผิดชอบในผลงานของตนเอง - การตัดสินใจที่ดีขึ้น
ข้อมูลจาก KPI จะช่วยให้ผู้บริหารสามารถตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผลและมั่นใจ เพราะการตัดสินใจจะเป็นไปตามข้อมูลที่มีอยู่แทนที่จะเป็นการคาดเดาหรือการตัดสินใจโดยใช้ความรู้สึก
วิธีเริ่มต้นใช้งาน KPI ในองค์กร
- กำหนดวิสัยทัศน์และเป้าหมายขององค์กร
ก่อนที่จะเลือก KPI ต้องเข้าใจวิสัยทัศน์และเป้าหมายขององค์กรก่อน เช่น หากองค์กรต้องการเพิ่มรายได้ ก็อาจเลือก KPI ที่เกี่ยวข้องกับยอดขายหรือตัวชี้วัดทางการเงิน - เลือก KPI ที่เกี่ยวข้องและสามารถวัดได้
KPI ที่เลือกต้องเป็นตัวชี้วัดที่สามารถสะท้อนผลลัพธ์ของการดำเนินงานในด้านต่างๆ ได้อย่างแม่นยำและมีความหมาย ตัวอย่าง KPI ที่สำคัญ เช่น- ยอดขาย
- จำนวนลูกค้าใหม่
- อัตราการรักษาลูกค้า (Customer Retention Rate)
- ความพึงพอใจของลูกค้า (Customer Satisfaction)
- อัตราผลิตภาพ (Productivity Rate)
- กำหนดเกณฑ์หรือเป้าหมายที่ชัดเจน
ต้องมีเกณฑ์หรือเป้าหมายที่ชัดเจนสำหรับแต่ละ KPI เช่น การเพิ่มยอดขาย 10% ภายใน 6 เดือน หรือการลดต้นทุนการผลิตลง 5% ในปีนี้ เป็นต้น เพื่อให้การติดตามและประเมินผลได้ง่ายขึ้น - ทำให้ KPI เชื่อมโยงกับงานและบุคคล
ทุกหน่วยงานในองค์กรควรกำหนด KPI ที่เหมาะสมกับหน้าที่และบทบาทของตัวเอง เช่น ฝ่ายการตลาดอาจมี KPI ที่เกี่ยวข้องกับจำนวนการสร้างแบรนด์ หรือจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ ส่วนฝ่ายผลิตอาจมี KPI ที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพของผลิตภัณฑ์ หรืออัตราการผลิต - กำหนดช่วงเวลาในการติดตามผล
KPI ควรจะมีการติดตามผลอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาที่เหมาะสม เช่น อาจเป็นรายเดือนหรือรายไตรมาส ขึ้นอยู่กับลักษณะของ KPI และเป้าหมายที่ต้องการบรรลุ - วิเคราะห์และปรับปรุง
การติดตามผล KPI อย่างสม่ำเสมอช่วยให้สามารถระบุปัญหาและจุดที่ต้องปรับปรุงได้ เมื่อพบว่า KPI ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง จะต้องทำการวิเคราะห์และหาทางปรับปรุงกระบวนการทำงานเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้
ตัวอย่าง KPI ที่ใช้ในหน่วยงานต่างๆ
- ฝ่ายการตลาด
- จำนวนลูกค้าใหม่ที่ได้จากแคมเปญการตลาด
- อัตราการแปลงลูกค้า (Conversion Rate)
- ค่าใช้จ่ายต่อการได้ลูกค้าใหม่ (Customer Acquisition Cost)
- ฝ่ายการเงิน
- กำไรสุทธิ
- อัตราการเติบโตของรายได้
- อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน
- ฝ่ายทรัพยากรบุคคล
- อัตราการลาออกของพนักงาน
- ระยะเวลาในการสรรหาพนักงานใหม่
- ความพึงพอใจของพนักงาน
- ฝ่ายการผลิต
- อัตราคุณภาพของผลิตภัณฑ์ (Defect Rate)
- ความสามารถในการผลิต (Production Efficiency)
- ต้นทุนการผลิตต่อหน่วย
สรุป
KPI ทำไมถึงสำคัญ เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการติดตามและประเมินผลการทำงานของทุกหน่วยงานในองค์กร โดยช่วยให้เป้าหมายที่องค์กรตั้งไว้สามารถบรรลุได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเริ่มต้นใช้งาน KPI ต้องมีการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน เลือก KPI ที่สามารถวัดผลได้จริง และทำการติดตามผลอย่างต่อเนื่องเพื่อปรับปรุงกระบวนการทำงานให้องค์กรเติบโตไปในทิศทางที่ต้องการ
หากคุณกำลังมองหาเครื่องมือที่ช่วยในการประเมินผล KPI บริการของ EsteeMATE มี Features ที่จะช่วยให้คุณประเมินผล KPI ให้กับพนักงานได้ ศึกษาข้อมูลพิ่มเติมได้ ที่นี่