Category: OKRs

  • จาก Excel สู่ Dashboard อัตโนมัติ: วิธีเปลี่ยนการทำงาน HR ให้ทันสมัยขึ้น

    จาก Excel สู่ Dashboard อัตโนมัติ: วิธีเปลี่ยนการทำงาน HR ให้ทันสมัยขึ้น

    ในยุคดิจิทัลที่ทุกองค์กรกำลังมุ่งเน้นไปที่การใช้ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพ การแปลงข้อมูลจาก Excel สู่ Dashboard อัตโนมัติ สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน โดยเฉพาะในด้านทรัพยากรบุคคล (HR) ที่จะช่วยให้เกิดการตัดสินใจที่ชาญฉลาดขึ้น การทำงานของฝ่าย HR ในหลายองค์กรยังคงพึ่งพา ไฟล์ Excel เป็นเครื่องมือหลัก ไม่ว่าจะเป็นการเก็บ KPI รายบุคคล, การสร้าง รายงานประจำเดือน, หรือการทำสรุปผลการประเมินพนักงาน ปัญหาคือยิ่งองค์กรโต ข้อมูลก็ยิ่งมาก การทำงานด้วย Excel แบบ manual จึงเริ่มกลายเป็นภาระมากกว่าจะเป็นเครื่องมือช่วยงาน Pain Point: HR ส่วนใหญ่ยังใช้ Excel ทำ KPI และรายงาน ลองนึกภาพฝ่ายบุคคลที่ต้องเปิดไฟล์ Excel นับสิบ นั่งคีย์ข้อมูลการประเมินทีละบรรทัด แล้วมานั่งรวมผลอีกทีเพื่อทำ Pivot Table ส่งให้ผู้บริหาร ปัญหาที่เจอบ่อยคือ ข้อจำกัดของ Excel (manual, error, ไม่ real-time) การใช้ Dashboard อัตโนมัติแทน…

  • My OKRs บนมือถือ: วางเป้าหมายและติดตามความก้าวหน้าได้ด้วยตนเอง

    การตั้งเป้าหมายเป็นสิ่งที่สำคัญไม่ว่าจะเป็นในชีวิตส่วนตัวหรือในหน้าที่การงาน เครื่องมือหนึ่งที่ได้รับความนิยมในการตั้งเป้าหมายก็คือ OKRs (Objectives and Key Results) ซึ่งเป็นวิธีที่ช่วยให้เราเห็นภาพชัดเจนของสิ่งที่ต้องการจะบรรลุและวิธีการที่จะไปถึงเป้าหมายเหล่านั้น ปัจจุบันมีการพัฒนา OKRs app บนมือถือที่ช่วยให้การตั้งเป้าหมายและ performance tracking กลายเป็นเรื่องที่สะดวกขึ้นอย่างยิ่ง ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ใดก็สามารถตรวจสอบ ดูความก้าวหน้า และปรับเป้าหมายได้ด้วยตัวเอง ทำให้ควบคุมและปรับแต่งแผนการได้ตลอดเวลา การใช้งาน OKRs app ช่วยให้องค์กรและบุคคลสามารถปรับกลยุทธ์ตามการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที ด้วยการตั้งเป้าหมาย และประเมินผลเป็นระยะ ไม่เพียงแต่จะช่วยให้เห็นถึงความก้าวหน้าเท่านั้น แต่ยังเป็นการย้ำเตือนถึงเป้าหมายใหญ่และแรงบันดาลใจที่ต้องการจะสำเร็จ ประโยชน์ของ OKRs app บนมือถือคือสามารถให้ข้อมูลแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับ performance tracking ซึ่งในบางองค์กรสามารถเชื่อมโยงเข้ากับระบบอื่น ๆ เพื่อดูข้อมูลที่กว้างขวางและครบถ้วน ทำให้สามารถติดตามและปรับปรุงผลการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยิ่งไปกว่านั้น, OKRs app มักจะมีฟังก์ชันให้ทีมและบุคคลสามารถระบุเป้าหมายเชิงกลยุทธ์และแยกย่อยเป็นขั้นตอนต่าง ๆ ช่วยให้การทำงานทุกอย่างมีความชัดเจนและสามารถจัดการได้ ด้วยการตั้งเป้าหมายที่สามารถวัดผลได้ เราสามารถวิเคราะห์และประเมิน performance tracking ได้อย่างแม่นยำ ทำให้การดำเนินงานสอดคล้องกับแผนและทิศทางที่กำหนดไว้ การเลือกใช้ OKRs app ที่เหมาะสมควรคำนึงถึงวัตถุประสงค์ของการใช้งาน เครื่องมือที่ดีควรจะสะดวกต่อการใช้งาน มีอินเตอร์เฟซที่เข้าใจง่าย…

  • OKRs กับการประเมินพนักงาน ใช้ร่วมกันอย่างไรให้ได้ผล

    OKRs คืออะไร OKRs หรือ Objectives and Key Results เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการตั้งเป้าหมายและกำหนดผลลัพธ์สำคัญในองค์กร ที่ช่วยให้พนักงานมีแนวทางในการทำงานอย่างชัดเจน เป้าหมาย (Objectives) จะเป็นสิ่งที่ต้องการบรรลุ ในขณะที่ผลลัพธ์สำคัญ (Key Results) จะเป็นวิธีการหรือมาตรการในการประเมินความก้าวหน้าของการบรรลุเป้าหมายเหล่านั้น OKRs จะช่วยเพิ่มความชัดเจนในการทำงานและสร้างการมีส่วนร่วมของพนักงานในองค์กร การประเมินผลจาก OKRs จะช่วยให้ผู้บริหารทราบถึงความสำเร็จและปัญหาที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลา Photo by Afif Ramdhasuma on Unsplash การตั้งเป้าหมายกับการประเมินผล การตั้งเป้าหมายเป็นขั้นตอนที่สำคัญสำหรับทุกองค์กร โดยเฉพาะในการประเมินผลพนักงาน การใช้ OKRs กับการประเมินพนักงานจะช่วยให้เป้าหมายมีความเชื่อมโยงกับการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการตั้งเป้าหมายระยะสั้นหรือระยะยาว การตั้งเป้าหมายนี้ควรสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ขององค์กรและสามารถวัดผลได้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้พนักงานสามารถมุ่งมั่นทำงานในทิศทางที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น การจับคู่ระหว่าง OKRs และ KPI KPI หรือ Key Performance Indicators คือการวัดผลผลการดำเนินงานที่เน้นในแง่ของประสิทธิภาพเป็นสำคัญ การจับคู่ระหว่าง OKRs กับ KPI จะช่วยให้การประเมินผลของพนักงานมีความสมบูรณ์มากขึ้น OKRs จะช่วยในการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน ขณะที่…

  • Desire in Relationships จะทำได้อย่างไร

    Desire in Relationships หมายถึง ความปรารถนาและความต้องการที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในความสัมพันธ์โรแมนติกหรือความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดมากขึ้น เช่น คู่รักหรือคู่สมรส ความปรารถนานี้สามารถปรากฏในหลายด้าน รวมถึงความรู้สึกทางเพศ ความสนใจทางอารมณ์ ความผูกพันทางจิตใจ และการร่วมมือกันในชีวิตประจำวัน การที่แต่ละคนมีความปรารถนาหรือความต้องการในระดับที่แตกต่างกันอาจมีผลต่อความสัมพันธ์และการดำเนินชีวิตคู่ 1. ความปรารถนาทางร่างกาย (Physical Desire) ความปรารถนาทางร่างกายในความสัมพันธ์ส่วนใหญ่หมายถึงความต้องการที่จะมีความใกล้ชิดทางร่างกาย ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการสัมผัส การกอด หรือการมีเพศสัมพันธ์ ความปรารถนานี้ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้คู่รักมีความพึงพอใจในความสัมพันธ์ทางร่างกายและทางเพศ การที่ทั้งสองฝ่ายมีความปรารถนาเดียวกันและสามารถตอบสนองความต้องการทางร่างกายได้อย่างเหมาะสมมักจะส่งผลให้ความสัมพันธ์นั้นมีความสุขและมีความใกล้ชิดมากขึ้น ตัวอย่าง: ความท้าทาย: ความปรารถนาทางร่างกายของแต่ละคนอาจแตกต่างกันไป บางคนอาจต้องการมาก ในขณะที่บางคนอาจไม่รู้สึกเช่นนั้น การสื่อสารและความเข้าใจระหว่างคู่รักจึงสำคัญมาก 2. ความปรารถนาทางอารมณ์ (Emotional Desire) ความปรารถนาทางอารมณ์เกี่ยวข้องกับความต้องการในการสร้างความสัมพันธ์ที่มีความใกล้ชิดทางจิตใจและอารมณ์ ความต้องการนี้รวมถึงการที่คู่รักต้องการที่จะได้รับการยอมรับ การรักและให้ความสำคัญซึ่งกันและกัน การแสดงออกถึงความรักและความห่วงใยเป็นสิ่งที่สำคัญมากในความสัมพันธ์ระยะยาว ตัวอย่าง: ความท้าทาย: บางครั้งคนในความสัมพันธ์อาจไม่สามารถแสดงความรู้สึกได้อย่างเปิดเผย หรือบางครั้งอาจรู้สึกไม่สบายใจในการแสดงออกถึงความรักและความห่วงใย สิ่งนี้อาจสร้างความเครียดหรือความเข้าใจผิดในความสัมพันธ์ 3. ความปรารถนาในความเข้าใจและการสื่อสาร (Desire for Understanding and Communication) การสื่อสารที่ดีเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างความเข้าใจในความสัมพันธ์ ความปรารถนานี้หมายถึงการที่คู่รักต้องการที่จะเข้าใจซึ่งกันและกันทั้งในเรื่องของความรู้สึก ความคิด และความต้องการ การสื่อสารที่ดีช่วยให้สามารถจัดการกับปัญหาหรือข้อขัดแย้งได้อย่างราบรื่นและช่วยให้ความสัมพันธ์แข็งแกร่งขึ้น…

  • ทำอย่างไรคือ Leveraging Desire in Marketing

    Leveraging Desire in Marketing หรือการใช้ความต้องการในด้านการตลาด เป็นกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นในการกระตุ้นความต้องการของผู้บริโภค เพื่อให้เกิดการตัดสินใจซื้อสินค้า หรือบริการ โดยการทำให้ผู้บริโภคเชื่อว่าผลิตภัณฑ์หรือบริการนั้นสามารถตอบสนองความต้องการหรือปรารถนาของพวกเขาได้อย่างเต็มที่ โดยทั่วไปแล้ว ความต้องการ (Desire) เป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนที่สำคัญที่ผลักดันพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภค ซึ่งสามารถนำไปใช้ในหลายแง่มุมของการตลาดได้ ดังนี้ 1. การเข้าใจความต้องการของผู้บริโภค การเข้าใจถึงความต้องการของผู้บริโภคไม่ใช่แค่การขายสินค้าเท่านั้น แต่ต้องมองให้ลึกไปถึงความปรารถนา ความคาดหวัง และปัญหาที่ผู้บริโภคต้องการให้สินค้าหรือบริการช่วยแก้ไข ตัวอย่างเช่น: 2. การสร้างความต้องการใหม่ (Creating Desire) การสร้างความต้องการใหม่หมายถึงการทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าพวกเขาต้องการสิ่งที่ไม่เคยคิดจะมีมาก่อน หรือบางครั้งก็อาจจะไม่เคยรู้เลยว่าสินค้าหรือบริการนั้นๆ จะสามารถตอบสนองสิ่งที่พวกเขาต้องการได้ เช่น: 3. การใช้หลักการของ Psychology (จิตวิทยา) การตลาดที่ดีมักจะใช้จิตวิทยาของมนุษย์เพื่อกระตุ้นความต้องการ และทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้เร็วขึ้น เช่น: 4. การใช้ Emotion (อารมณ์) การเชื่อมโยงอารมณ์กับการตัดสินใจซื้อเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ทรงพลังที่สุดในตลาด เพราะอารมณ์มักมีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจของผู้บริโภคมากกว่าเหตุผล ตัวอย่างเช่น: 5. การสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำ การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าในขณะซื้อหรือใช้สินค้า ทำให้ลูกค้ารู้สึกพิเศษและต้องการกลับมาซื้อซ้ำ ตัวอย่างของการสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำคือ: 6. การใช้ Storytelling การเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับแบรนด์หรือสินค้าช่วยให้ลูกค้าสามารถเชื่อมโยงกับแบรนด์ในระดับอารมณ์ ตัวอย่างของการใช้เทคนิคนี้คือ: 7.…

  • “บริษัทขนาดเล็กทำระบบสำรวจดัชนีความพึงพอใจของพนักงาน” ได้ไหม

    บริษัทขนาดเล็กทำระบบสำรวจดัชนีความพึงพอใจของพนักงาน ได้อย่างแน่นอน แม้ว่าจะมีทรัพยากรจำกัด แต่ก็ยังสามารถพัฒนา และนำมาใช้ได้ เพื่อประเมิน และปรับปรุงสภาพแวดล้อมการทำงาน และความพึงพอใจของพนักงานได้ ซึ่งจะช่วยในการรักษาพนักงานที่มีคุณภาพ และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้ ทำไมบริษัทขนาดเล็กจึงควรทำระบบสำรวจความพึงพอใจของพนักงาน นี่คือขั้นตอนพื้นฐานที่สามารถทำได้ เครื่องมือที่ช่วยในการทำสำรวจความพึงพอใจของพนักงาน ข้อดีของการทำระบบสำรวจดัชนีความพึงพอใจของพนักงานในบริษัทขนาดเล็ก ข้อเสียและข้อควรพิจารณา เคล็ดลับสำหรับบริษัทขนาดเล็ก สรุป บริษัทขนาดเล็กทำระบบสำรวจดัชนีความพึงพอใจของพนักงาน การทำระบบสำรวจดัชนีความพึงพอใจของพนักงานเป็นเรื่องที่คุ้มค่าสำหรับบริษัทขนาดเล็ก แม้ว่าจะมีข้อจำกัดบางประการ แต่ด้วยการวางแผนที่ดีและเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสม บริษัทขนาดเล็กก็สามารถทำการสำรวจได้อย่างมีประสิทธิภาพและนำผลลัพธ์ที่ได้ไปปรับปรุงองค์กรให้ดียิ่งขึ้นได้ หากคุณกำลังมองหาเครื่องมือที่ช่วยในการประเมินผล KPI สำหรับฝ่ายขาย EsteeMATE มี Features ที่จะช่วยให้คุณประเมินผล KPI ให้กับพนักงานฝ่ายขายได้ ศึกษาข้อมูลพิ่มเติมได้ที่นี่

  • ความสำคัญของผลงานต่อการทำงานในบริษัท

    ความสำคัญของผลงานต่อการทำงานในบริษัท ผลงานของพนักงานถือเป็นตัวชี้วัดหลักที่สะท้อนถึงประสิทธิภาพและคุณค่าของพนักงานในองค์กร การทำงานที่มีผลงานดีไม่เพียงแค่ช่วยให้องค์กรบรรลุเป้าหมายและวิสัยทัศน์ที่ตั้งไว้ แต่ยังส่งผลต่อการเติบโตและพัฒนาของบุคคลากรในระยะยาว รวมถึงสร้างบรรยากาศการทำงานที่มีแรงจูงใจและความพึงพอใจในทีม 1. การบรรลุเป้าหมายและผลลัพธ์ขององค์กร ความสำคัญของผลงานต่อการทำงานในบริษัท ผลงานของพนักงานเป็นปัจจัยที่สำคัญในการช่วยให้บริษัทบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจและกลยุทธ์ที่ตั้งไว้ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มรายได้ การขยายตลาด การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน 2. การสร้างแรงจูงใจและความพึงพอใจในการทำงาน ผลงานที่ดีไม่เพียงแต่ช่วยให้บริษัทบรรลุเป้าหมาย แต่ยังเป็นเครื่องมือในการสร้างแรงจูงใจให้กับพนักงานเอง เมื่อพนักงานเห็นว่าเป้าหมายของตนเองถูกตระหนักและได้รับการยอมรับ พวกเขาจะรู้สึกมีคุณค่าและมุ่งมั่นที่จะทำงานได้ดีขึ้น 3. การสร้างภาพลักษณ์ขององค์กร ผลงานของพนักงานยังสะท้อนภาพลักษณ์ขององค์กรในตลาดและในวงการ การที่พนักงานทำงานได้ดีและสร้างผลงานที่มีคุณภาพจะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นในองค์กร และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีทั้งในสายตาของลูกค้า คู่ค้า และนักลงทุน 4. การพัฒนาและเติบโตของพนักงาน ผลงานที่ดีสามารถเป็นตัวชี้วัดการเติบโตของพนักงาน ทั้งในด้านทักษะ ความรู้ และประสบการณ์ หากพนักงานสามารถสร้างผลงานที่มีคุณภาพและปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงขององค์กรได้ดี พวกเขาจะมีโอกาสในการพัฒนาและเติบโตในองค์กร 5. การปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานในองค์กร ผลงานของพนักงานยังช่วยในการปรับปรุงกระบวนการทำงานภายในองค์กร การที่พนักงานสามารถมองเห็นช่องทางในการพัฒนาและปรับปรุงวิธีการทำงานจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของทีมและองค์กรโดยรวม 6. การสร้างความร่วมมือและการทำงานเป็นทีม ผลงานที่ดีของพนักงานยังมีบทบาทในการสร้างความร่วมมือและทำงานเป็นทีม การที่พนักงานแต่ละคนสามารถแสดงผลงานที่ดีจะช่วยให้ทีมงานสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถบรรลุเป้าหมายร่วมกันได้ 7. การประเมินและพัฒนาผลการทำงาน ผลงานของพนักงานยังเป็นข้อมูลสำคัญที่ใช้ในการประเมินและพัฒนาผลการทำงานในอนาคต การที่บริษัทสามารถประเมินผลงานได้ดีจะช่วยให้การพัฒนาบุคลากรมีทิศทางที่ถูกต้องและตรงตามเป้าหมายขององค์กร สรุป ผลงานที่ดีไม่เพียงแค่มีผลต่อการบรรลุเป้าหมายขององค์กร แต่ยังส่งผลต่อการสร้างแรงจูงใจและความพึงพอใจของพนักงาน การพัฒนาและเติบโตของพนักงาน การปรับปรุงกระบวนการทำงานในองค์กร และการสร้างความร่วมมือในทีมทั้งหมดนี้จึงเป็นผลสำคัญจากผลงานที่ดี ซึ่งทำให้องค์กรมีโอกาสในการเติบโตและประสบความสำเร็จในระยะยาว สนใจทดลองใช้งานโปรแกรมประเมินออนไลน์…

  • บทบาท หน้าที่ของพนักงานขายในยุคปัจจุบัน

    บทบาท หน้าที่ของพนักงานขายในยุคปัจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากจากการใช้เทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค โดยสามารถสรุปได้ดังนี้ 1. บทบาทและหน้าที่ของพนักงานขายในยุคปัจจุบัน ในยุคปัจจุบัน บทบาท หน้าที่ของพนักงานขายในยุคปัจจุบัน พนักงานขายไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้ที่ทำหน้าที่เสนอขายสินค้าและบริการอีกต่อไป แต่ต้องมีบทบาทที่กว้างขวางและต้องพัฒนาทักษะหลายด้านเพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว บทบาทหลักของพนักงานขายในยุคปัจจุบัน: การเข้าใจลูกค้าและการให้บริการที่ปรับตัวได้ การใช้เทคโนโลยีในการสนับสนุนการขาย การสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า (Relationship Selling) การพัฒนาทักษะและการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การปรับตัวให้เข้ากับพฤติกรรมการซื้อของลูกค้า (Omni-channel Selling) หน้าที่หลักของพนักงานขาย:การจัดการและดูแลลูกค้าปัจจุบัน ขั้นตอนในการตั้งค่าระบบประเมินผลการปฏิบัติงาน การตั้งค่าระบบประเมินผลการปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพนั้นมีหลายขั้นตอนที่สำคัญ ซึ่งช่วยให้การประเมินผลมีความชัดเจน ตรงตามเป้าหมายและสามารถนำไปใช้เพื่อพัฒนาและปรับปรุงการทำงานในอนาคตได้ ขั้นตอนในการตั้งค่าระบบประเมินผลการปฏิบัติงาน: 1. กำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของการประเมิน ก่อนเริ่มตั้งค่าระบบประเมินผล ควรกำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของการประเมินให้ชัดเจนว่าเป็นการวัดผลเพื่อการพัฒนา, การปรับปรุงประสิทธิภาพ หรือการตัดสินใจเชิงนโยบายอื่น ๆ 2. กำหนดตัวชี้วัดที่ใช้ในการประเมิน (KPIs) ตัวชี้วัด (KPI) จะเป็นเครื่องมือหลักในการประเมินผลการทำงานของพนักงาน เช่น 3. เลือกระบบการประเมินที่เหมาะสม เลือกระบบที่ช่วยในการประเมินผลการทำงาน เช่น การประเมินแบบ 360 องศา (360-Degree Feedback), การประเมินจากผู้บังคับบัญชา, หรือการประเมินตนเอง (Self-Assessment) 4. กำหนดระยะเวลาการประเมิน…

  • ตำแหน่งในฝ่ายขาย ต้องมีอะไรบ้าง

    ตำแหน่งในฝ่ายขาย ตำแหน่งในฝ่ายขาย (Sales) เป็นหนึ่งในแผนกที่สำคัญที่สุดในทุกองค์กร เนื่องจากมีบทบาทในการสร้างรายได้และความเติบโตของบริษัท ตำแหน่งในฝ่ายขายมีหลายระดับและหน้าที่ที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่การขายสินค้าโดยตรงไปจนถึงการบริหารทีมงานฝ่ายขาย รวมถึงการวิเคราะห์ข้อมูลและการสร้างกลยุทธ์ทางการขายต่าง ๆ แต่ละตำแหน่งมีหน้าที่และทักษะเฉพาะที่ช่วยสนับสนุนให้การขายในองค์กรประสบความสำเร็จ ต่อไปนี้จะเป็นการอธิบายและตัวอย่างงานในแต่ละตำแหน่งในทีมขายที่พบในองค์กร: 1. Sales Executive / Sales Representative (พนักงานขาย) หน้าที่หลัก: ตัวอย่างงาน: 2. Account Manager (ผู้จัดการบัญชีลูกค้า) หน้าที่หลัก: ตัวอย่างงาน: 3. Sales Manager (ผู้จัดการฝ่ายขาย) หน้าที่หลัก: ตัวอย่างงาน: 4. Sales Director (ผู้อำนวยการฝ่ายขาย) หน้าที่หลัก: ตัวอย่างงาน: 5. Business Development Manager (ผู้จัดการพัฒนาธุรกิจ) หน้าที่หลัก: ตัวอย่างงาน: 6. Inside Sales / Telesales (พนักงานขายทางโทรศัพท์ / พนักงานขายในองค์กร) หน้าที่หลัก: ตัวอย่างงาน:…

  • หน้าที่ของผู้จัดการฝ่ายขายยุคดิจิตอลกัน

    หน้าที่ของผู้จัดการฝ่ายขายในยุคดิจิทัลกัน บทบาทของ ผู้จัดการฝ่ายขาย (Sales Manager) มีการเปลี่ยนแปลงไปจากการขายแบบดั้งเดิมที่เน้นการพบปะลูกค้าและการขายในพื้นที่ทางกายภาพ มาเป็นการใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือดิจิทัลในการเสริมสร้างประสิทธิภาพในการทำงาน ทั้งในด้านการบริหารทีมงาน การติดตามลูกค้า และการทำการตลาดแบบออนไลน์ หน้าที่ของผู้จัดการฝ่ายขายยุคดิจิตอลกัน สรุป ผู้จัดการฝ่ายขายในยุคดิจิทัล มีบทบาทที่หลากหลายและท้าทายมากขึ้น โดยต้องมีทักษะในการใช้งานเครื่องมือดิจิทัลต่าง ๆ รวมถึงการวิเคราะห์ข้อมูลและการวางแผนกลยุทธ์การขายที่ผสานกับการใช้เทคโนโลยีเพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การใช้เทคโนโลยีไม่เพียงแต่ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ยังสามารถสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าและทำให้ทีมขายสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สนใจทดลองใช้งานโปรแกรมประเมินออนไลน์ EsteeMATE ติดต่อได้ที่นี่