Author: Esteemate
-
บทบาท หน้าที่ของพนักงานขายในยุคปัจจุบัน
บทบาท หน้าที่ของพนักงานขายในยุคปัจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากจากการใช้เทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค โดยสามารถสรุปได้ดังนี้ 1. บทบาทและหน้าที่ของพนักงานขายในยุคปัจจุบัน ในยุคปัจจุบัน บทบาท หน้าที่ของพนักงานขายในยุคปัจจุบัน พนักงานขายไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้ที่ทำหน้าที่เสนอขายสินค้าและบริการอีกต่อไป แต่ต้องมีบทบาทที่กว้างขวางและต้องพัฒนาทักษะหลายด้านเพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว บทบาทหลักของพนักงานขายในยุคปัจจุบัน: การเข้าใจลูกค้าและการให้บริการที่ปรับตัวได้ การใช้เทคโนโลยีในการสนับสนุนการขาย การสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า (Relationship Selling) การพัฒนาทักษะและการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การปรับตัวให้เข้ากับพฤติกรรมการซื้อของลูกค้า (Omni-channel Selling) หน้าที่หลักของพนักงานขาย:การจัดการและดูแลลูกค้าปัจจุบัน ขั้นตอนในการตั้งค่าระบบประเมินผลการปฏิบัติงาน การตั้งค่าระบบประเมินผลการปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพนั้นมีหลายขั้นตอนที่สำคัญ ซึ่งช่วยให้การประเมินผลมีความชัดเจน ตรงตามเป้าหมายและสามารถนำไปใช้เพื่อพัฒนาและปรับปรุงการทำงานในอนาคตได้ ขั้นตอนในการตั้งค่าระบบประเมินผลการปฏิบัติงาน: 1. กำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของการประเมิน ก่อนเริ่มตั้งค่าระบบประเมินผล ควรกำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของการประเมินให้ชัดเจนว่าเป็นการวัดผลเพื่อการพัฒนา, การปรับปรุงประสิทธิภาพ หรือการตัดสินใจเชิงนโยบายอื่น ๆ 2. กำหนดตัวชี้วัดที่ใช้ในการประเมิน (KPIs) ตัวชี้วัด (KPI) จะเป็นเครื่องมือหลักในการประเมินผลการทำงานของพนักงาน เช่น 3. เลือกระบบการประเมินที่เหมาะสม เลือกระบบที่ช่วยในการประเมินผลการทำงาน เช่น การประเมินแบบ 360 องศา (360-Degree Feedback), การประเมินจากผู้บังคับบัญชา, หรือการประเมินตนเอง (Self-Assessment) 4. กำหนดระยะเวลาการประเมิน…
-
ตำแหน่งในฝ่ายขาย ต้องมีอะไรบ้าง
ตำแหน่งในฝ่ายขาย ตำแหน่งในฝ่ายขาย (Sales) เป็นหนึ่งในแผนกที่สำคัญที่สุดในทุกองค์กร เนื่องจากมีบทบาทในการสร้างรายได้และความเติบโตของบริษัท ตำแหน่งในฝ่ายขายมีหลายระดับและหน้าที่ที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่การขายสินค้าโดยตรงไปจนถึงการบริหารทีมงานฝ่ายขาย รวมถึงการวิเคราะห์ข้อมูลและการสร้างกลยุทธ์ทางการขายต่าง ๆ แต่ละตำแหน่งมีหน้าที่และทักษะเฉพาะที่ช่วยสนับสนุนให้การขายในองค์กรประสบความสำเร็จ ต่อไปนี้จะเป็นการอธิบายและตัวอย่างงานในแต่ละตำแหน่งในทีมขายที่พบในองค์กร: 1. Sales Executive / Sales Representative (พนักงานขาย) หน้าที่หลัก: ตัวอย่างงาน: 2. Account Manager (ผู้จัดการบัญชีลูกค้า) หน้าที่หลัก: ตัวอย่างงาน: 3. Sales Manager (ผู้จัดการฝ่ายขาย) หน้าที่หลัก: ตัวอย่างงาน: 4. Sales Director (ผู้อำนวยการฝ่ายขาย) หน้าที่หลัก: ตัวอย่างงาน: 5. Business Development Manager (ผู้จัดการพัฒนาธุรกิจ) หน้าที่หลัก: ตัวอย่างงาน: 6. Inside Sales / Telesales (พนักงานขายทางโทรศัพท์ / พนักงานขายในองค์กร) หน้าที่หลัก: ตัวอย่างงาน:…
-
หน้าที่ของผู้จัดการฝ่ายขายยุคดิจิตอลกัน
หน้าที่ของผู้จัดการฝ่ายขายในยุคดิจิทัลกัน บทบาทของ ผู้จัดการฝ่ายขาย (Sales Manager) มีการเปลี่ยนแปลงไปจากการขายแบบดั้งเดิมที่เน้นการพบปะลูกค้าและการขายในพื้นที่ทางกายภาพ มาเป็นการใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือดิจิทัลในการเสริมสร้างประสิทธิภาพในการทำงาน ทั้งในด้านการบริหารทีมงาน การติดตามลูกค้า และการทำการตลาดแบบออนไลน์ หน้าที่ของผู้จัดการฝ่ายขายยุคดิจิตอลกัน สรุป ผู้จัดการฝ่ายขายในยุคดิจิทัล มีบทบาทที่หลากหลายและท้าทายมากขึ้น โดยต้องมีทักษะในการใช้งานเครื่องมือดิจิทัลต่าง ๆ รวมถึงการวิเคราะห์ข้อมูลและการวางแผนกลยุทธ์การขายที่ผสานกับการใช้เทคโนโลยีเพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การใช้เทคโนโลยีไม่เพียงแต่ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ยังสามารถสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าและทำให้ทีมขายสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สนใจทดลองใช้งานโปรแกรมประเมินออนไลน์ EsteeMATE ติดต่อได้ที่นี่
-
Sales Manager ยุคใหม่ต้องทำอะไรได้บ้าง
Sales Manager ยุคใหม่: การบริหารทีมขายในยุคดิจิทัล ในยุคดิจิทัล, Sales Manager หรือ ผู้จัดการฝ่ายขาย มีบทบาทสำคัญในการนำทีมขายสู่ความสำเร็จ โดยการใช้เทคโนโลยี, ข้อมูล, และกลยุทธ์ที่เหมาะสมในการตอบสนองต่อตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ตำแหน่งนี้ไม่เพียงแค่บริหารทีมงาน แต่ยังต้องวางแผนกลยุทธ์การขายที่มีประสิทธิภาพและใช้เครื่องมือดิจิทัลเพื่อเพิ่มผลลัพธ์ในการขาย หน้าที่หลักของ Sales Manager ยุคใหม่ 1. การวางแผนกลยุทธ์การขาย (Sales Strategy Development) 2. การบริหารทีมขาย (Sales Team Management) 3. การฝึกอบรมและพัฒนาทีมขาย (Sales Training and Development) 4. การใช้ข้อมูลและการวิเคราะห์ผล (Data-Driven Decision Making) 5. การปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้า (Customer Experience Improvement) 6. การสร้างและจัดการช่องทางการขายใหม่ (New Sales Channel Development) 7. การสร้างกลยุทธ์การตลาดแบบครบวงจร (Omnichannel Sales…
-
เหตุผลที่ควรใช้แอป OKR ในการพัฒนาผลงานทีมของคุณ
เหตุผลที่ควรใช้แอป OKR (Objectives and Key Results) ในการพัฒนาผลงานทีม OKR หรือ Objectives and Key Results เป็นกรอบการทำงานที่ช่วยให้ทีมและองค์กรตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและวัดผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการใช้ แอป OKR ในการติดตามและพัฒนาเป้าหมายสามารถช่วยเพิ่มความโปร่งใส, การประเมินผลที่แม่นยำ, และการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพในทีม นอกจากนี้ยังช่วยให้สามารถติดตามความคืบหน้าได้ในเวลาจริงและปรับกลยุทธ์ได้อย่างรวดเร็ว 1. การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและวัดผลได้ (Clear and Measurable Goals) 2. การติดตามผลในเวลาจริง (Real-Time Tracking) 3. เพิ่มความโปร่งใสและความร่วมมือในทีม (Transparency and Collaboration) 4. การปรับกลยุทธ์อย่างรวดเร็ว (Agility and Strategy Adjustment) 5. เพิ่มความมุ่งมั่นและความรับผิดชอบในทีม (Accountability and Motivation) 6. การพัฒนาและการเติบโตของทีม (Team Development and Growth) แอป OKR…
-
ขั้นตอนในการทำประเมิน 360 องศา
ขั้นตอนในการทำประเมิน 360 องศา (360-Degree Feedback) มีหลายขั้นตอนที่สำคัญ ซึ่งช่วยให้กระบวนการประเมินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถนำไปใช้ในการพัฒนาบุคลากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ นี่คือขั้นตอนหลักในการทำประเมิน 360 องศา การวางแผนและการเตรียมการกำหนดวัตถุประสงค์ของการประเมิน: ระบุเหตุผลที่ต้องการทำการประเมิน เช่น การพัฒนาทักษะ, การเตรียมความพร้อมสำหรับการเลื่อนตำแหน่ง, หรือการประเมินประสิทธิภาพการทำประเมินแบบ 360 องศามีขั้นตอนสำคัญที่ต้องดำเนินการอย่างเป็นระบบ เพื่อให้การประเมินเป็นไปอย่างราบรื่นและได้ผลลัพธ์ที่มีคุณค่าในการพัฒนาบุคลากร ขั้นตอนในการทำประเมิน 360 องศา 1. การเตรียมความพร้อม (Preparation Phase) 2. การสร้างแบบสอบถาม (Designing the Feedback Tool) 3. การเลือกผู้ประเมิน (Selecting Evaluators) 4. การเก็บข้อมูล (Collecting Feedback) 5. การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analysis) 6. การให้ข้อเสนอแนะ (Providing Feedback) 7. การตั้งเป้าหมายพัฒนา (Setting Development Goals) 8. การติดตามและการประเมินผลซ้ำ…
-
เคล็ดลับการทำ Digital Transformation
เคล็ดลับการทำ Digital Transformation (DT) เป็นการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อเปลี่ยนแปลงกระบวนการทางธุรกิจ วัฒนธรรมองค์กร และการให้บริการลูกค้า โดยการนำเทคโนโลยีมาใช้ไม่เพียงแค่เพื่อการพัฒนาและปรับปรุง แต่ยังเป็นการสร้างโอกาสใหม่ๆ และความสามารถในการแข่งขันในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การทำ Digital Transformation ไม่ได้แค่การใช้เครื่องมือหรือเทคโนโลยีใหม่ๆ แต่ยังเกี่ยวข้องกับการปรับเปลี่ยนวิธีคิดขององค์กรและกระบวนการทำงานให้สอดคล้องกับโลกยุคดิจิทัล เคล็ดลับการทำ Digital Transformation มีดังนี้ 1. กำหนดวิสัยทัศน์และเป้าหมายที่ชัดเจน 2. รับการสนับสนุนจากผู้นำระดับสูง 3. ทำความเข้าใจลูกค้าและตลาด 4. ลงทุนในเทคโนโลยีที่เหมาะสม 5. ส่งเสริมวัฒนธรรมการเปลี่ยนแปลง 6. การฝึกอบรมและพัฒนาทักษะ 7. การจัดการข้อมูลและการวิเคราะห์ 8. การติดตามและวัดผล 9. การจัดการความเสี่ยง 10. การปรับตัวและการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง 11. การฝึกอบรมและพัฒนาทักษะของพนักงาน 12. การสร้างความร่วมมือภายนอก ตัวอย่าง: Amazon Web Services (AWS) ทำงานร่วมกับหลายบริษัทในการพัฒนาโซลูชั่นคลาวด์ โดยการใช้เทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญจากทั้งสองฝ่ายช่วยให้ลูกค้าได้รับบริการที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เคล็ดลับ: การทำ Digital Transformation ไม่จำเป็นต้องทำเองทั้งหมด…
-
Digital Transformation แบบไหนที่เหมาะกับธุรกิจคุณ
การเลือก Digital Transformation (การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล) ที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณต้องพิจารณาจากหลายปัจจัย รวมถึง ลักษณะธุรกิจ วัตถุประสงค์ทางธุรกิจ ทรัพยากรที่มีอยู่ และ ระดับความพร้อมทางเทคโนโลยี แต่ละองค์กรมีความแตกต่างกันในการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ และกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลจะต้องตอบสนองความต้องการเฉพาะของธุรกิจนั้น ๆ การเลือกแบบ Digital Transformation ที่เหมาะสมสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภทตามลักษณะการเปลี่ยนแปลงที่องค์กรต้องการทำเพื่อให้ธุรกิจของคุณมีความสามารถในการแข่งขันในโลกดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ 1. การประเมินสถานะปัจจุบัน 2. การตั้งวิสัยทัศน์และเป้าหมาย 3. การลงทุนในเทคโนโลยีที่เหมาะสม เหมาะสำหรับ: ธุรกิจที่มีการดำเนินงานซ้ำ ๆ หรือกระบวนการที่ใช้เวลาและทรัพยากรเยอะ เช่น ธุรกิจการผลิต การบริการด้านการเงิน หรือองค์กรที่มีการทำงานที่ซับซ้อน เช่น สายการบิน โรงพยาบาล หรือธุรกิจที่ต้องการจัดการกระบวนการต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 4. การสร้างวัฒนธรรมการเปลี่ยนแปลง 5. การปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้า 6. การติดตามและวัดผล 7. การจัดการข้อมูลและความปลอดภัย
-
Digital Transformation ในองค์กร
Digital Transformation (การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล) ในองค์กร หมายถึงการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินงานขององค์กรให้สามารถใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างเต็มที่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน การตอบสนองต่อลูกค้าและตลาด และการสร้างมูลค่าใหม่ในธุรกิจ การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงแต่การนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้ แต่ยังเกี่ยวข้องกับการปรับเปลี่ยนวิธีคิด กลยุทธ์ทางธุรกิจ โครงสร้างองค์กร และวัฒนธรรมภายในองค์กรให้รองรับการใช้งานดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องและต้องได้รับการสนับสนุนจากทั้งผู้นำและพนักงานทุกคนในองค์กร เพื่อให้สามารถสร้างความยั่งยืนและความสามารถในการแข่งขันในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่จำกัดแค่การใช้เทคโนโลยี แต่ยังรวมถึงการปรับกระบวนการและวิธีการทำงานภายในองค์กรทั้งหมด 1. การตั้งวิสัยทัศน์และเป้าหมาย 2. การประเมินสถานะปัจจุบัน 3. การวางแผนและกลยุทธ์ 4. การลงทุนในเทคโนโลยี 5. การฝึกอบรมและพัฒนาทักษะ 6. การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กร วัฒนธรรมองค์กรที่รองรับการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงนี้ เพราะการเปลี่ยนแปลงไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากทุกระดับภายในองค์กร: 8. การสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่ดี 9. การวัดผลและการปรับปรุง 10. การรักษาความปลอดภัยและการปฏิบัติตามข้อกำหนด ตัวอย่างของ Digital Transformation ในองค์กร การเปลี่ยนแปลงดิจิทัลในองค์กรไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับการนำเทคโนโลยีใหม่เข้ามาใช้ แต่ยังเกี่ยวข้องกับการปรับปรุงกระบวนการทำงาน, การพัฒนาทักษะของพนักงาน, และการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กรเพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการและความท้าทายในยุคดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
-
คุณปรับตัวสู่ธุรกิจดิจิทัลแล้วหรือยัง
คุณปรับตัวสู่ธุรกิจดิจิทัลแล้วหรือยัง เป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยการวางแผน และ การดำเนินการอย่างรอบคอบ ไม่เพียงแต่ การนำเทคโนโลยีมาใช้ แต่ยังรวมถึงการเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงาน และ วัฒนธรรมองค์กรด้วย นี่คือขั้นตอน และ กลยุทธ์ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับตัวสู่ธุรกิจดิจิทัลได้ คุณปรับตัวสู่ธุรกิจดิจิทัลแล้วหรือยัง? เป็นคำถามที่ชวนให้ทุกธุรกิจสะท้อนถึงความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ทันกับยุคที่เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้คน การ ปรับตัวสู่ธุรกิจดิจิทัล (Digital Transformation) ไม่ใช่เพียงแค่การนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาใช้ แต่ยังเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงในด้านกลยุทธ์ การดำเนินงาน และวิธีการคิดของทั้งองค์กร โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว 1. ประเมินสถานะปัจจุบัน 2. กำหนดวิสัยทัศน์และเป้าหมาย 3. ธุรกิจดิจิทัลกับการลงทุนในเทคโนโลยีที่เหมาะสม 4. การฝึกอบรมและพัฒนาทักษะ 5. การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กร 6. การวัดผลและปรับปรุง 7. การสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่ดี 8. การจัดการความปลอดภัยและการปฏิบัติตามข้อกำหนด 9.การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ธุรกิจ (Business Strategy Transformation) การปรับตัวสู่ธุรกิจดิจิทัลเริ่มต้นจากการวาง กลยุทธ์ธุรกิจ ที่สามารถใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมาเสริมสร้างประสิทธิภาพและตอบสนองต่อความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เช่น: การมุ่งเน้นที่ลูกค้า (Customer-Centric Approach): กลยุทธ์ดิจิทัลต้องให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของลูกค้า (Customer Experience)…