Employee Satisfaction Index (ESI) คือ ดัชนีวัดความพึงพอใจของพนักงาน ซึ่งใช้เพื่อประเมินและติดตามความพึงพอใจในการทำงานของพนักงานภายในองค์กร โดยวัดจากหลายปัจจัยที่มีผลต่อความพึงพอใจในที่ทำงาน เช่น สภาพแวดล้อมการทำงาน, การสนับสนุนจากผู้บังคับบัญชา, โอกาสในการเติบโต, การยอมรับและค่านิยมที่องค์กรส่งเสริม เป็นต้น
ความหมายของ Employee Satisfaction Index (ESI)
เป็นเครื่องมือที่ใช้เพื่อประเมินระดับความพึงพอใจของพนักงานในองค์กร โดยจะมีการจัดทำแบบสอบถามหรือสำรวจความคิดเห็นจากพนักงานในประเด็นต่างๆ เช่น สวัสดิการ, ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน, ความมั่นคงในงาน, และความคุ้มค่าของงานที่ทำ เป็นต้น ซึ่งค่าผลลัพธ์ที่ได้จากดัชนีนี้จะช่วยให้องค์กรทราบถึงสภาพแวดล้อมในที่ทำงาน และสามารถวางแผนปรับปรุงการบริหารทรัพยากรบุคคลได้ดีขึ้น
ความสำคัญของ
- การสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี: การวัด ESI ช่วยให้ผู้บริหารรู้ว่าสภาพแวดล้อมการทำงานในองค์กรเป็นอย่างไร และสามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้
- การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน: พนักงานที่พึงพอใจในงานจะมีแรงจูงใจในการทำงานที่ดีขึ้น ส่งผลให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- การลดอัตราการลาออก: เมื่อพนักงานพึงพอใจกับสภาพแวดล้อมและการทำงาน พวกเขามีแนวโน้มที่จะทำงานในองค์กรได้ยาวนานขึ้น ช่วยลดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการหาพนักงานใหม่
- การดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถ: องค์กรที่มีดัชนีความพึงพอใจสูงจะสามารถดึงดูดผู้มีความสามารถเข้ามาทำงานได้ง่ายขึ้น
ข้อดีของ
- การเข้าใจความต้องการของพนักงาน: ESI ช่วยให้องค์กรสามารถเข้าใจในมุมมองของพนักงานเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาคาดหวังและต้องการจากองค์กร
- สามารถวัดผลได้: การใช้ดัชนีช่วยให้การประเมินความพึงพอใจเป็นไปในเชิงปริมาณ ซึ่งสามารถใช้ในการติดตามผลและเปรียบเทียบในช่วงเวลาต่างๆ ได้
- ช่วยในการพัฒนากลยุทธ์ HR: ข้อมูลจาก ESI ช่วยให้ฝ่ายบุคคลสามารถกำหนดกลยุทธ์ในการพัฒนาทรัพยากรบุคคลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขั้นตอนการทำ(ESI)
1. กำหนดวัตถุประสงค์
ก่อนที่จะเริ่มทำการสำรวจ ESI ต้องรู้วัตถุประสงค์ของการวัด เช่น
- เพื่อหาปัญหาที่พนักงานพบเจอในที่ทำงาน
- เพื่อวัดระดับความพึงพอใจในด้านต่างๆ เช่น สวัสดิการ, ความสัมพันธ์ในทีม, การสนับสนุนจากผู้บริหาร, ความโปร่งใสในการตัดสินใจขององค์กร เป็นต้น
- เพื่อใช้ผลลัพธ์ในการปรับปรุงสภาพแวดล้อมการทำงานและกลยุทธ์การบริหารบุคคล
2. เลือกปัจจัยที่จะวัด
ปัจจัยที่สำคัญในการวัด ESI ควรครอบคลุมถึงหลายๆ ด้านที่มีผลต่อความพึงพอใจของพนักงาน เช่น:
- การบริหารจัดการและผู้นำ: ความพึงพอใจในความสามารถในการบริหารของผู้บังคับบัญชา
- สวัสดิการและผลประโยชน์: ความพึงพอใจในสวัสดิการ เช่น โบนัส, ประกันสุขภาพ, การลาพักร้อน ฯลฯ
- สภาพแวดล้อมการทำงาน: ความสะดวกสบายในการทำงาน, ความปลอดภัย, และเครื่องมือที่ใช้งาน
- ความสัมพันธ์ในทีมและกับเพื่อนร่วมงาน: ความพึงพอใจในบรรยากาศการทำงานและความสัมพันธ์ในองค์กร
- โอกาสในการพัฒนาอาชีพ: ความพึงพอใจในโอกาสการเติบโตในองค์กร เช่น การฝึกอบรม, การเลื่อนตำแหน่ง
3. ออกแบบแบบสอบถาม (Survey)
การออกแบบแบบสอบถามเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการเก็บข้อมูลจากพนักงาน คำถามควรครอบคลุมปัจจัยที่เลือกไว้อย่างละเอียด และควรใช้คำถามในลักษณะที่ชัดเจน โดยสามารถใช้คำถามที่เป็นรูปแบบ Likert Scale (1-5 หรือ 1-7) เพื่อให้สามารถให้คะแนนได้ง่าย ตัวอย่างคำถามเช่น:
- “คุณพึงพอใจกับการสื่อสารจากผู้บริหารระดับสูงหรือไม่?” (1 = ไม่พอใจเลย, 5 = พอใจมาก)
- “คุณรู้สึกว่ามีโอกาสในการเติบโตในองค์กรนี้หรือไม่?” (1 = ไม่มีโอกาส, 5 = มีโอกาสมาก)
การตั้งคำถามควรคำนึงถึง:
- ความชัดเจนในการสื่อสาร
- คำถามไม่ควรชี้นำหรือมีความเอนเอียง
- ต้องครอบคลุมประเด็นที่สำคัญทั้งหมด
4. รวบรวมข้อมูล
ทำการแจกแบบสอบถามหรือจัดให้มีการสัมภาษณ์ (ในกรณีที่ต้องการข้อมูลที่ลึกซึ้งกว่า) และรวบรวมข้อมูลจากพนักงานให้ครบถ้วน ซึ่งควรให้พนักงานทุกคนในองค์กรมีส่วนร่วม (หากเป็นไปได้) เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ได้มีความถูกต้องและครอบคลุม
- การทำแบบสอบถามออนไลน์ (Google Form, SurveyMonkey) เป็นวิธีที่สะดวกและรวดเร็ว
- ควรกำหนดระยะเวลาในการตอบแบบสอบถาม เช่น ภายใน 1 สัปดาห์ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ทันสมัย
5. วิเคราะห์ข้อมูล
เมื่อได้ข้อมูลจากพนักงานแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการวิเคราะห์ผล ซึ่งจะสามารถทำได้โดยการคำนวณคะแนนเฉลี่ยจากคำตอบของพนักงานในแต่ละข้อ จากนั้นจะคำนวณคะแนนรวมของทุกคำถาม เพื่อให้ได้ ดัชนีความพึงพอใจเฉลี่ย (Employee Satisfaction Index)
ตัวอย่างการคำนวณ:
- ถาม: “คุณพึงพอใจกับการบริหารจัดการหรือไม่?” (1 = ไม่พอใจเลย, 5 = พอใจมาก)
- พนักงาน 5 คน ตอบ 4, 3, 4, 5, 2
- คำนวณค่าเฉลี่ย: (4+3+4+5+2) ÷ 5 = 3.6
- ถาม: “คุณพึงพอใจกับสวัสดิการที่ได้รับจากบริษัท?”
- พนักงาน 5 คน ตอบ 3, 3, 4, 4, 5
- คำนวณค่าเฉลี่ย: (3+3+4+4+5) ÷ 5 = 3.8
หลังจากที่คำนวณคะแนนเฉลี่ยจากทุกคำถามแล้ว คุณจะได้ดัชนีความพึงพอใจโดยรวม หรือ ESI ซึ่งจะช่วยให้องค์กรเข้าใจว่าพนักงานพึงพอใจในส่วนไหนบ้าง และต้องปรับปรุงในส่วนใด
6. ตีความผลลัพธ์
การตีความผลลัพธ์จาก ESI เป็นขั้นตอนที่สำคัญ โดยทั่วไปแล้วค่าดัชนีที่สูงจะหมายถึงพนักงานมีความพึงพอใจในระดับดี แต่หากค่าดัชนีต่ำก็แสดงว่ามีปัญหาบางอย่างในองค์กรที่ต้องได้รับการแก้ไข
- ESI สูง (4-5): แสดงว่าพนักงานพึงพอใจในระดับดีมาก
- ESI ปานกลาง (3-4): แสดงว่าพนักงานพึงพอใจในระดับกลางๆ อาจจะมีบางด้านที่ต้องปรับปรุง
- ESI ต่ำ (1-2): แสดงว่าพนักงานมีความพึงพอใจต่ำ ซึ่งต้องมีการตรวจสอบและแก้ไขปัญหาด่วน
7. ดำเนินการปรับปรุงตามผลลัพธ์
หลังจากที่ได้ผลการวัด ESI แล้ว ขั้นตอนสุดท้ายคือการดำเนินการตามข้อเสนอแนะหรือการปรับปรุงต่างๆ ที่ได้รับจากการสำรวจ เช่น:
- หากคะแนนความพึงพอใจในด้านสวัสดิการต่ำ อาจพิจารณาการปรับปรุงแพ็คเกจสวัสดิการ
- หากคะแนนในด้านการสนับสนุนจากผู้บริหารต่ำ อาจต้องมีการอบรมหรือพัฒนาทักษะด้านการเป็นผู้นำ
การดำเนินการปรับปรุงต้องทำอย่างจริงจัง โดยอาจจัดประชุมร่วมกับฝ่ายบริหารและทีม HR เพื่อหามาตรการที่เหมาะสม
8. การติดตามผล
หลังจากดำเนินการปรับปรุงแล้ว ควรทำการสำรวจ ESI ซ้ำเพื่อดูผลการเปลี่ยนแปลงในแต่ละรอบ เพื่อประเมินว่าการปรับปรุงต่างๆ ส่งผลต่อความพึงพอใจของพนักงานหรือไม่ และเพื่อให้สามารถติดตามความพึงพอใจของพนักงานได้อย่างต่อเนื่อง
ตัวอย่างการใช้ Employee Satisfaction Index (ESI)
เพื่อให้เข้าใจการทำงานของ Employee Satisfaction Index (ESI) ได้อย่างละเอียด, ขอใช้ตัวอย่างจากการสำรวจความพึงพอใจของพนักงานในองค์กรสมมุติ ซึ่งเราจะเห็นขั้นตอนต่างๆ ตั้งแต่การออกแบบแบบสอบถามไปจนถึงการวิเคราะห์ผลและการปรับปรุงจากผลลัพธ์ที่ได้
1. กำหนดวัตถุประสงค์
บริษัท ABC ต้องการวัดความพึงพอใจของพนักงานในหลายๆ ด้าน เพื่อหาข้อบกพร่องหรือสิ่งที่สามารถปรับปรุงได้ในองค์กร เช่น การบริหารจัดการ, สวัสดิการ, ความสัมพันธ์ในทีมงาน และการสนับสนุนจากผู้บังคับบัญชา
2. เลือกปัจจัยที่จะวัด
สำหรับการวัด Employee Satisfaction Index (ESI) ในกรณีนี้ บริษัทเลือกปัจจัยที่สำคัญ 5 ด้าน:
- การบริหารจัดการ: ความพึงพอใจในทักษะและการนำทีมของผู้บริหาร
- สวัสดิการและผลประโยชน์: ความพึงพอใจในสวัสดิการ เช่น โบนัส, ประกันสุขภาพ, วันลาพักร้อน
- โอกาสในการเติบโตและพัฒนา: ความพึงพอใจในโอกาสในการพัฒนาอาชีพและการฝึกอบรม
- สภาพแวดล้อมการทำงาน: ความสะดวกสบาย, ความปลอดภัยในที่ทำงาน
- ความสัมพันธ์ในทีม: ความพึงพอใจในความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานและบรรยากาศในทีม
3. ออกแบบแบบสอบถาม (Survey)
แบบสอบถามมีคำถาม 10 ข้อ โดยมีการใช้ Likert Scale (1-5) เพื่อให้พนักงานสามารถให้คะแนนความพึงพอใจได้อย่างละเอียด เช่น:
- การบริหารจัดการ:
- “คุณพึงพอใจกับความสามารถในการบริหารงานของผู้บริหารหรือไม่?”
(1 = ไม่พอใจเลย, 5 = พอใจมาก)
- “คุณพึงพอใจกับความสามารถในการบริหารงานของผู้บริหารหรือไม่?”
- สวัสดิการและผลประโยชน์:
- “คุณพึงพอใจกับสิทธิประโยชน์ที่บริษัทให้หรือไม่?” (1 = ไม่พอใจเลย, 5 = พอใจมาก)
- โอกาสในการเติบโต:
- “คุณเห็นว่าองค์กรให้โอกาสในการพัฒนาอาชีพหรือไม่?” (1 = ไม่มีโอกาสเลย, 5 = มีโอกาสมาก)
- สภาพแวดล้อมการทำงาน:
- “คุณพอใจกับสภาพแวดล้อมการทำงาน เช่น อุปกรณ์สำนักงาน, ความสะอาด, ความปลอดภัยหรือไม่?” (1 = ไม่พอใจเลย, 5 = พอใจมาก)
- ความสัมพันธ์ในทีม:
- “คุณรู้สึกว่ามีความสัมพันธ์ที่ดีในทีมงานหรือไม่?” (1 = ไม่ดีเลย, 5 = ดีมาก)
4. รวบรวมข้อมูล
บริษัท ABC ส่งแบบสอบถามให้พนักงาน 100 คนในองค์กร โดยให้เวลาตอบภายใน 1 สัปดาห์ ซึ่งพนักงานสามารถตอบแบบสอบถามออนไลน์ผ่านระบบที่บริษัทจัดเตรียมไว้
- จำนวนพนักงานที่ตอบ: 95 คน (ตอบครบถ้วน 95%)
- รูปแบบคำตอบ: พนักงานให้คะแนนตามตัวเลือกที่กำหนด (1-5)
5. การคำนวณและวิเคราะห์ข้อมูล
เมื่อรวบรวมคำตอบจากพนักงานทั้งหมดแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการคำนวณ Employee Satisfaction Index (ESI) โดยการคำนวณค่าเฉลี่ยของคะแนนในแต่ละด้าน (การบริหารจัดการ, สวัสดิการ, โอกาสเติบโต, สภาพแวดล้อมการทำงาน, ความสัมพันธ์ในทีม)
ขั้นตอนการคำนวณค่าเฉลี่ย (Score Calculation)
- การบริหารจัดการ:
- คะแนนจาก 95 คน: 4, 4, 3, 4, 5, … (รวบรวมคะแนนแล้วคำนวณค่าเฉลี่ย)
- ค่าเฉลี่ย = 4.1
- สวัสดิการและผลประโยชน์:
- คะแนนจาก 95 คน: 3, 4, 3, 2, 3, … (รวบรวมคะแนนแล้วคำนวณค่าเฉลี่ย)
- ค่าเฉลี่ย = 3.4
- โอกาสในการเติบโตและพัฒนา:
- คะแนนจาก 95 คน: 5, 4, 4, 3, 3, … (รวบรวมคะแนนแล้วคำนวณค่าเฉลี่ย)
- ค่าเฉลี่ย = 4.2
- สภาพแวดล้อมการทำงาน:
- คะแนนจาก 95 คน: 3, 4, 4, 4, 5, … (รวบรวมคะแนนแล้วคำนวณค่าเฉลี่ย)
- ค่าเฉลี่ย = 4.0
- ความสัมพันธ์ในทีม:
- คะแนนจาก 95 คน: 5, 5, 4, 4, 5, … (รวบรวมคะแนนแล้วคำนวณค่าเฉลี่ย)
- ค่าเฉลี่ย = 4.3
การคำนวณ ESI
หลังจากที่คำนวณค่าเฉลี่ยในแต่ละด้านแล้ว ค่าดัชนี ESI โดยรวมจะคำนวณจากค่าเฉลี่ยของคะแนนในทุกด้านที่สำรวจ:ESI=4.1+3.4+4.2+4.0+4.35=20.05=4.0\text{ESI} = \frac{4.1 + 3.4 + 4.2 + 4.0 + 4.3}{5} = \frac{20.0}{5} = 4.0ESI=54.1+3.4+4.2+4.0+4.3=520.0=4.0
ESI = 4.0 หมายถึง พนักงานในองค์กรนี้มีความพึงพอใจโดยรวมในระดับ ดี (คะแนน 4 จาก 5)
6. การตีความผลลัพธ์
คะแนน ESI ที่ได้คือ 4.0 ซึ่งแสดงถึงความพึงพอใจที่สูงในหลายๆ ด้าน แต่ยังมีบางด้านที่อาจจะต้องปรับปรุง เช่น สวัสดิการและผลประโยชน์ ซึ่งมีคะแนนต่ำสุด (3.4) เปรียบเทียบกับส่วนอื่นๆ เช่น ความสัมพันธ์ในทีม (4.3) หรือ โอกาสในการเติบโต (4.2)
7. การดำเนินการตามผลลัพธ์
หลังจากที่ได้รับผล ESI แล้ว บริษัทสามารถทำการวิเคราะห์และหาทางแก้ไขปัญหาต่างๆ ตามข้อสรุป:
- การบริหารจัดการ (4.1): คะแนนค่อนข้างดีอยู่แล้ว แต่บริษัทสามารถเสริมสร้างการฝึกอบรมทักษะการบริหารให้กับผู้จัดการหรือผู้นำทีมเพื่อเพิ่มคะแนนในส่วนนี้
- สวัสดิการ (3.4): ผลลัพธ์นี้อาจบ่งชี้ว่าองค์กรสามารถปรับปรุงสวัสดิการและผลประโยชน์ที่เสนอให้กับพนักงานได้ เช่น เพิ่มโบนัส, ปรับปรุงการให้ประกันสุขภาพ, หรือเสนอกิจกรรมสำหรับพนักงาน
- ความสัมพันธ์ในทีม (4.3): บริษัทควรรักษาความสัมพันธ์นี้ให้ดีขึ้นด้วยการจัดกิจกรรมในองค์กรที่ช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ในทีม เช่น team-building หรือการส่งเสริมการสื่อสารในองค์กร
8. การติดตามผล
หลังจากการปรับปรุงสิ่งต่างๆ ตามผลการสำรวจ ESI ในปี 2024 แล้ว บริษัทอาจทำการสำรวจใหม่ในปีถัดไปเพื่อตรวจสอบว่า ความพึงพอใจของพนักงานในด้านต่างๆ มีการปรับปรุงไปในทิศทางที่ดีขึ้นหรือไม่
สนใจทดลองใช้งานโปรแกรมประเมินออนไลน์ EsteeMATE ติดต่อได้ที่นี่